ครีมรักษาฝ้า ควรเลือกซื้ออย่างไร ต้องดูอะไรบ้าง
Table of Contents
ครีมรักษาฝ้า
ครีมรักษาฝ้า เป็นทางเลือกสำหรับสาว ๆ ที่มีปัญหาผิวพรรณบนใบหน้า เป็นสิ่งที่ทำให้สาว ๆ เกิดความวิตกกังวลใจ กับปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก จึงต้องหาตัวช่วยในการรักษาผิวหน้าให้กลับมาผิวขาวกระจ่างใสขึ้นอีกครั้ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการออกไปพบปะผู้คน
วันนี้เราจะมาศึกษาหาข้อมูลของครีมรักษาฝ้า เพื่อเป็นวิธีในการรักษาฝ้าให้ได้ผลลัพธ์อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก่อนไปทำความรู้จักกับครีมรักษาฝ้า เราไปดูข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ และสาเหตุของการเกิดฝ้ากันก่อน เพื่อจะได้หาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าซ้ำขึ้นอีก ไปดูกันเลยค่ะ
ครีมรักษาฝ้า คืออะไร
ครีมรักษาฝ้า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการรักษา ฝ้า กระ จุด ด่าง ดำ ช่วยให้ฝ้า กระ จุด ด่าง ดำ ดูจางลง ช่วยลดการเปลี่ยนแปลงของสีผิว ลดปัญหาฝ้าและจุดด่างดำสะสม แถมยังช่วยให้ผิวเรียบเนียน และสีผิวสม่ำเสมอขึ้นอีกด้วย
ฝ้าคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร
ฝ้าคือ การที่เซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง หรือเม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เม็ดสีทำงานผิดปกตินั้น เกิดขึ้นจากการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด หรือ รังสี UV เป็นเวลานาน เม็ดสีเมลานินมีหน้าที่กรองรังสีอัลตราไวโอเลต
เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย จึงเกิดเป็นฝ้าซึ่งมีลักษณะเป็นสีดำอมน้ำตาล ขึ้นเป็นแถบหรือปื้นบริเวณทั่วใบหน้า เช่น หน้าผาก โหนกแก้ม เหนือริมฝีปาก จมูก ฝ้าเป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้บ่อยในคนเอเชียที่มีผิวคล้ำ
สำหรับสาเหตุของการเกิดฝ้า ก็มาจากปัจจัยหลากหลายประการซึ่งนอกจากแสงแดดเป็นตัวการหลักแล้ว ความร้อนจากเตาไฟในขณะทำอาหารและการที่ฮอร์โมนเพศในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง
ก็มีส่วนกระตุ้นทำให้การผลิตเม็ดสีผิวมีความผิดปกติขึ้นได้ สังเกตได้จากหญิงตั้งครรภ์หรือคนที่กินยาคุมกำเนิดก็มักจะมีฝ้าขึ้นปริมาณมาก
หรือในกรณีที่มีการแพ้สารเคมีบางชนิดจากเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิว โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่มักมีสารเคมีต้องห้ามปะปนในการผลิตบ่อย ๆ เหล่านี้หากไม่ระมัดระวังเลือกใช้ให้ดีก็ล้วนถือเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้เช่นเดียวกัน
ฝ้ามีกี่ชนิด
ฝ้าที่ขึ้นบริเวณใบหน้าของเราแบ่งได้เป็น 3 ชนิดหลัก ๆ คือ
-ฝ้าตื้น
เกิดจากความผิดปกติบริเวณชั้นหนังกำพร้า (ผิวชั้นนอก) มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม ขอบชัด มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ก็รักษาได้ง่ายเช่นกัน โดยใช้เวลารักษาไม่นานนัก
-ฝ้าลึก
เกิดบริเวณชั้นหนังแท้ ผื่นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบไม่ชัดเจน เนื่องจากอยู่ในระดับที่ลึกมาก การรักษาจึงค่อนข้างยาก
-ฝ้าผสม
นั่นคือ มีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกเกิดขึ้นที่ผิวหน้า เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในผู้ที่ประสบปัญหาฝ้า
การรักษาฝ้า
ฝ้ายังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ในบางกรณี เช่น สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีการรับประทานยาคุมกำเนิดหรือได้รับการรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมน ฝ้าอาจจางหายได้เองเมื่อคลอดบุตรหรือหยุดการได้รับฮอร์โมนนั้น ๆ
ซึ่งการรักษาฝ้าให้ได้ประสิทธิภาพดีอาจต้องมีการใช้วิธีการรักษาหลายวิธีไปพร้อมกัน โดยขึ้นอยู่กับชนิดของฝ้าและความรุนแรงที่เป็นด้วย
-การรักษาด้วยยา
เป็นวิธีการรักษาด้วยการใช้ยาในรูปแบบครีมที่มีส่วนผสมหลักเป็นสารฟอกสีตัวเดียวหรือหลายตัวเป็นส่วนประกอบ เพื่อช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งความเข้มข้นของสารในครีมทาฝ้าจะมีปริมาณแตกต่างกันออกไป
ควบคู่ไปกับการเลี่ยงแสงแดดหรือหยุดการรับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่อาจกระตุ้นการเกิดฝ้าได้มากขึ้น ข้อควรระวัง ในการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารฟอกขาวที่มีความเข้มข้นมาก
หรือใช้เป็นระยะเวลานานโดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง สีผิวบริเวณนั้นเข้มขึ้น หรือเกิดฝ้าถาวรได้ (Exogenous Ochronosis)
-การรักษาด้วยเลเซอร์และการผลัดเซลล์ผิวหนัง
เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างรวดเร็วกว่าการทาครีมรักษาฝ้า ส่วนใหญ่จะใช้รักษาฝ้าเมื่อการใช้ยาทาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร แต่ประสิทธิภาพของการรักษายังขึ้นอยู่กับแต่ละคน
การรักษาฝ้าโดยเลเซอร์ที่ช่วยปรับสภาพผิวบางส่วน (Fractional Resurfacing) เพื่อช่วยปรับสภาพหรือรักษาความผิดปกติของสีผิว เช่น เลเซอร์ระบบคิวสวิตช์ (Q-switched Laser) หรือ (Fractional Erbium: YAG Laser) ยิงลงไปบริเวณที่เกิดฝ้าโดยตรงและทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีด้วยความร้อน
ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีที่ให้ผลรวดเร็วและจัดการกับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอได้ เลเซอร์ก็ยังไม่ใช่ทางเลือกแรกของการรักษาฝ้าในทางการแพทย์ เพราะผลของการรักษาจะทำให้ฝ้าจางลงเพียงชั่วคราวเท่านั้นหรืออาจไม่ได้ผลในบางราย
-การผลัดเซลล์ผิวหนัง (Superficial Skin Peels)
เป็นการใช้สารที่มีความเป็นกรดหรือสารฟอกขาว
เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) หรือกรดซาลิซิลิก (Salicylic Acid) ช่วยเร่งให้ผิวเกิดการผลัดเซลล์ผิวหนังชั้นนอก คล้าย ๆ กับการใช้เลเซอร์ เพื่อช่วยให้สีผิวมีความสม่ำเสมอมากขึ้น
แต่ผลข้างเคียงของวิธีนี้คืออาจเสี่ยงกับการทำให้สีผิวเข้มมากขึ้น นอกจากนี้ อาจใช้วิธีการกรอผิวด้วยผลึกแร่ เพื่อขัดและลอกผิวหนังชั้นกำพร้าด้านบนออก (Microdermabrasion)
วิธีการป้องกันการเกิดฝ้า
-หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด
ความร้อน โดยตรง เป็นวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดฝ้าได้ดีที่สุด เนื่องจากรังสีอัลตราไวโอเลตทั้ง ยูวีเอ (UVA) ยูวีบี (UVB)
หรือแสงที่ตามองเห็นได้ (Visible Light) อาจกระตุ้นให้เกิดกระบวนการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้นจนทำให้เกิดฝ้าได้
-ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง
โดยเลือกครีมกันแดดที่มีค่าที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และต้องเป็นชนิด PA+++ เป็นค่าที่บ่งบอกว่าครีมมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดีมากน้อยแค่ไหน
โดยทาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนออกแดด และทาวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและเที่ยง ก่อนทารอบที่ 2 ควรล้างหน้าสะอาดด้วย
-หลีกเลี่ยงเครื่องสำอาง
ที่มีส่วนทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดฝ้า
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีน้ำหอมและแอลกอฮอล์ รวมถึงเครื่องสำอางในกลุ่มไวท์เทนนิ่ง แต่ไม่ยอมทากันแดด ดังนั้น สาวที่ใช้เครื่องสำอางที่เป็นกลุ่มไวท์เทนนิ่ง ต้องทากันแดดกันด้วย
ครีมรักษาฝ้า ควรเลือกซื้ออย่างไร
-ต้องมีส่วนผสมที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีใต้ผิวโดยตรง เช่น Alpha arbutin , Niacinamide , Delentigo
-ไม่มีสารเร่งการผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA BHA กรดผลไม้ กรดรุนแรง เนื่องจากการใช้สารเร่งการผลัดเซลล์ผิวทุกวัน จะทำให้เซลล์ผิวใหม่สร้างไม่ทัน ผิวบาง ไวต่อแดด ระยะยาว ฝ้า กระ จะยิ่งกลับมาเข้มได้มากกว่าเดิม
-หลีกเลี่ยงส่วนผสมอย่างไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) แม้ว่าจะช่วยยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีจนทำให้ฝ้าลดลงและผิวดูขาวขึ้นได้ แต่ผิวของคุณจะอ่อนแอลง ทำให้รู้สึกแสบร้อนเมื่อสัมผัสกับแสงแดด
อันเนื่องจากผิวไวต่อแดด นอกจากนี้ยังมีอาการแพ้เป็นตุ่มแดง และยังเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนังอีกด้วย หากมีส่วนผสมอย่าง ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการซื้อครีมรักษาฝ้ามาใช้
-ตรวจสอบข้อมูลสำคัญทางยาบนฉลากยา ได้แก่ ชื่อตัวยาสำคัญ วัตถุประสงค์หรือข้อบ่งใช้ คำเตือนหรือคำแนะนำ หรือเปอร์เซ็นต์ของยาให้อยู่ในปริมาณที่ อย.กำหนด (ไม่เกิน 2 %)
รวมทั้งควรใช้ในระยะเวลาที่จำกัด และทาเฉพาะจุดที่เป็นฝ้าเท่านั้น โดยหลังจากหยุดการใช้ยาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนแล้ว ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันอาการไวต่อแสงแดด ควรตรวจสอบข้อมูลดังนี้
-ต้องมี วัน-เดือน-ปีที่ผลิตชัดเจน
-ต้องมีเลขจดแจ้ง อย. ที่สามารถตรวจสอบได้
-ต้องระบุแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์นั้น ๆ อย่างชัดเจน
-ต้องระบุส่วนผสมในครีมให้แน่ชัด
-ต้องมีวันผลิต และวันหมดอายุกำกับอยู่ด้วย
-ต้องมีวิธีใช้กำกับข้างผลิตภัณฑ์
บทสรุป
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับครีมรักษาฝ้า ถือว่าเป็นตัวช่วยให้กับผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้าบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี ควรศึกษาหาข้อมูล เพื่อเป็นแนวทางในการรักษาฝ้าอย่างได้ผล
ที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยงแสงแดดที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า มีวินัยในการทาครีมบำรุง และครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้การรักษาฝ้าบนใบหน้าก็จะมีประสิทธิภาพและเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน