โรคหิดคือ สาเหตุ อาการ การดูแลรักษาและป้องกัน
Table of Contents
โรคหิด (Scabies)
โรคหิด เป็นโรคผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดจาก “ตัวหิด” (Scabies mite) ซึ่งเป็นสัตว์ขาปล้องประเภทไรชนิดที่เป็นปรสิต (Parasite) ซึ่งตัวหิดนี้จะดำรงชีวิตอยู่บนผิวหนังของคน และ กินเซลล์ผิวหนังเป็นอาหาร และตัวหิดนี้จะเป็นตัวก่อโรค
![โรคหิด (Scabies) โรคหิด (Scabies)](https://healthdoo.today/wp-content/uploads/2020/01/pokfhit4353.jpg)
โดยที่ผู้ป่วยจะมีอาการ คือ คัน และ มีผื่นตามผิวหนัง และ โรคนี้สามารถติดต่อได้ด้วยการสัมผัสผิวหนังของผู้ที่เป็นหิด โดยจะรวมถึงการมีเพศสัมพันธ์
ปัจจัยสำคัญของการระบายของโรคนี้คือ
ความสกปรกและการต้องอาศัยอยู่ในที่แออัด อาจพบการระบาดได้ตามวัด โรงเรียน หรือ โรงงาน และ ส่วนใหญ่พบโรคนี้ในประเทศด้อยพัฒนา หรือ กำลังพัฒนา
สาเหตุของโรคหิด
เกิดจากตัวหิดที่เป็นสัตว์ขาปล้องประเภทไรชนิดหนึ่งที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ชาริคอบ ติส สเคบิอาย (Sarcopies scabiei) และ จัดเป็นปรสิต โดยที่ดำรงชีวิตอยู่บนผิวหนังของคน และกินเซลล์ผิวหนังเป็นอาหาร สามารถติดต่อได้ง่าย โดยการสัมผัส หรือ ใช้สิ่งของร่วมกัน ในบางรายอาจติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์
โรคหิดมีอยู่ 2 ประเภท
1. โรคหิดนอร์เวย์
ผู้ที่มีภาวะภูมิต้านทานโรคบกพร่อง หรือ ได้รับยากดภูมิต้านทาน ผู้ขาดสารอาหาร ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยอัมพาต สมองพิการ ผู้ที่เป็นโรคทางระบบประสาท และ สมอง การสัมผัสผิวหนังในทุกรูปแบบ
![โรคหิดนอร์เวย์](https://healthdoo.today/wp-content/uploads/2020/01/nor4353453.jpg)
2. โรคหิดต้นแบบ
การติดหิดประเภทนี้เกิดจากการอยู่ใกล้ชิด และ มีการสัมผัสผิวหนังกับผู้ป่วยที่เป็นหิดเป็นระยะเวลานาน ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดหิดประเภทนี้ได้แก่ เด็ก คนยากจน ในเรือนจำ ค่ายกักกัน การมีเพศสัมพันธ์ ก็ทำให้ติดโรคหิดประเภทนี้ การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน ก็มีโอกาสทำให้ติดหิดประเภทนี้ได้
![โรคหิดต้นแบบ](https://healthdoo.today/wp-content/uploads/2020/01/wew45r4w5er.jpg)
อาการของโรคหิด
หลังจากที่ได้รับหิดมาแล้วประมาณ 1 เดือน ซึ่งอาจจะเร็ว หรือ ช้ากว่านี้ ตั้งแต่ 2 – 6 สัปดาห์ ก็จะเริ่มแสดงอาการคันที่เกิดจากหิด โดยเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ไวต่อตัวหิด ซึ่งเรียกปฏิกิริยานี้ว่า Delayed type iv hypersensitivity
โดยที่ร่างกายจะส่งเม็ดเลือดขาวออกมา และ จะมีการหลั่งสารเคมีต่าง ๆ เพื่อพยายามกำจัดหิด แต่สารเคมีเหล่านี้กลับทำให้เกิดอาการ และ สำหรับผู้ที่ติดหิดซ้ำในครั้งหลัง ๆ จะทำให้เกิดอาการคันเร็วขึ้นที่เป็นเช่นนี้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มีการจดจำปฏิกิริยาที่มีต่อตัวหิดไว้แล้ว
– โรคหิดต้นแบบ (Classic scabies) เกิดจากหิดตัวเมียที่ไซลงไปอาศัยอยู่ในชั้นหนังกำพร้า จะพบลักษณะผื่นเป็นตุ่มแดง มีตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง หรือ ผื่นที่เกิดจากการเกา (คัน) บางรายอาจพบผื่นที่มีลักษณะเป็นรอยนูนคนเคี้ยวไปมาคล้ายเส้นด้ายยาวประมาณ 2 – 3 มิลลิเมตร ลักษณะของผื่นจะพบขึ้นกระจายไปทั่ว
![โรคหิดต้นแบบ](https://healthdoo.today/wp-content/uploads/2020/01/wew45r4w5er.jpg)
โดยเฉพาะตามบริเวณที่ร่างกายอบอุ่น เช่น ข้อมือ ข้อศอก ข้อเท้า ง่ามนิ้วมือ นิ้วเท้า หัวหน่าว อวัยวะเพศชาย ลูกอัณฑะ ขาหนีบ แต่จะไม่พบหิดที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ใบหน้า ศีรษะ และ ลำคอ เพราะชั้นผิวหนังบริเวณนี้จะหนา และ มีไขมันมาก ลักษณะที่สำคัญที่สุด คือ ผู้ป่วยมักจะมีอาการคันมาก โดยเฉพาะในตอนกลางคืนจะคันมากเป็นพิเศษ
ในคนปกติจะมีหิดอาศัยอยู่ประมาณ 5 – 15 ตัว โดยที่ในบางครั้งอาจทำให้มองเห็นตัวหิดเป็นจุด
กลม ๆ ขาว ๆ ได้
ในผู้ป่วยบางรายจะมีตุ่มนูนแดงขนาดใหญ่มากกว่า 0.5 เซนติเมตร ปรากฏตรงผิวหนัง ตำแหน่งอื่นที่ไม่มีตัวหิดอยู่ ซึ่งอาจจะมี 2 – 3 ตุ่ม หรือ หลาย ๆ ตุ่ม ขึ้นที่ผิวหนัง โดยเฉพาะรักแร้ และ ขาหน
– โรคหิดนอร์เวย์ (Norwegian scabies Crusted scabies) หิดชนิดนี้มักเกิดในคนที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันโรค ระบบประสาท และ สมอง ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้จะสูญเสียความรู้สึกทางผิวหนัง จึงไม่แสดงอาการคันให้เห็น ไม่มีรอยเกา ไม่มีตุ่มนูนแดง หรือ ตุ่มน้ำใสบนผิวหนัง
![โรคหิดนอร์เวย์](https://healthdoo.today/wp-content/uploads/2020/01/nor4353453.jpg)
จนเวลาผ่านไปนานเข้า เมื่อไม่ได้รับการรักษา หิดก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยอาจมีปริมาณมากถึง 2 ล้านตัว ใน 1 คน จึงทำให้ผิวหนังของผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความหนา โดยจะเห็นได้ชัดบริเวณข้อศอก ข้อเข่า ฝ่ามือ และ ฝ่าเท้า
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหิด
-ผู้ที่เป็นหิดนาน ๆ ผิวหนัง และ เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังจะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย แทรกซ้อนตามมา จนกลายเป็นผิวหนัง เนื้อเยื่ออักเสบ เกิดฝีหนองได้
-โรคที่แบคทีเรียมีโอกาสทำให้เกิดได้ เช่น โรคกรวยไตอักเสบ โรคปอดอักเสบ และ การติดเชื้อในกระแสเลือด หากได้รับการรักษาล่าช้า จะมีโอกาสทำให้เสียชีวิตได้
-ในเด็กอาจมีอาการคัน จนพักผ่อนไม่เพียงพอ กินไม่ได้ และ น้ำหนักตัวลดลง
การวินิจฉัยโรค
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคหิดต้นแบบ แพทย์จะสามารถวินิจฉัยได้จากอาการคัน และ การตรวจร่างกายที่พบโพรงของหิด ผื่นที่เป็นตุ่มนูนแดง หรือ ตุ่มน้ำใส เป็นสำคัญ ส่วนผู้ป่วยที่เป้นโรคหิดนอร์เวย์ แพทย์จะตรวจร่างกายที่พบโพรงของหิด
และ ตรวจจากลักษณะของผิวหนัง ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยมีอาการคัน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และ รับการรักษาที่ถูกต้อง โยแพทย์จะวินิจฉัยด้วยการซักประวัติ อาการ และ ดูรอยของโรคเป็นสำคัญ และ อาจจะมีการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม
![การวินิจฉัยโรค การวินิจฉัยโรค](https://healthdoo.today/wp-content/uploads/2020/01/er57nmoop.jpg)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถช่วยยืนยันการวินิจฉัยในผู้ป่วยได้ทั้ง 2 แบบ ด้วยการหยดน้ำมันพืชลงบนโพรงของหิด แล้วใช้ใบมีดสะอาดขูดผิวหนังบริเวณนั้น แล้วนำผิวหนังที่ขูดได้ไปวางบนแผ่นสไลด์ โดยไม่ต้องหยดน้ำยาใด ๆ และ ตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
ซึ่งจะพบตัวหิด หรือไข่หิด ในกรณีที่หาโพรงหิดไม่เจอ อาจใช้ยาทาชื่อ เตตราไซคลีน (Tetracycline) ทาบนผิวหนังบริเวณที่สงสัย แล้วนำไปส่องตรวจด้วยแสงอัลตราไวโอเลต ในช่วงคลื่นความยาวสูง ก็จะทำให้เห็นโพรงที่เกิดจากหิดได้ง่ายขึ้น
การรักษาโรคหิด
โรคหิดต้องรักษาผู้ที่เป็นหิด และ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดทุกคน โดยการรักษาจะแบ่งเป็นการฆ่าตัวหิด การบรรเทาอาการคัน และ การรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
-การฆ่าตัวหิด
การรักษาจะเป็นการใช้ยาในรูปแบบทา ซึ่งเป็นการรักษาโรคหิดชนิดต้นแบบซึ่งจะมีอยู่หลายชนิด เช่น Benzyl benzoate 25% Permethrin cream 5% Lindane Lotion 1% โดยจะต้องนำมาทาให้ทั่วตัว โดยที่ยาส่วนใหญ่จะต้องทาทิ้งไว้ประมาณ 8 – 24 ชั่วโมง แล้วจึงล้างออก แล้วทาซ้ำอีกครั้งภายใน 7 – 10 วัน
![การฆ่าตัวหิด](https://healthdoo.today/wp-content/uploads/2020/01/tuahit45444.jpg)
ข้อควรระวัง ยาบางชนิดมีฤทธิ์ระคายเครืองต่อผิวหนัง ดังนั้นการเลือกใช้ยาจึงควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
-การบรรเทาอาการคัน
เมื่อได้รับการรักษาด้วยยาทาไปแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น แต่ก็อาจจะมีอาการคันหลงเหลืออยู่อีกประมาณ
2 – 4 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์อาจให้ยาสเตียรอยด์ อ่อน ๆ มาทาวันละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยลดอาการคัน
-การรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
การรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โดยจะใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งอาจจะเป็นยาทา ยากิน หรือ ยาฉีด
วิธีป้องกันโรคหิด
1. อย่าสัมผัส หรือนอนบนเตียงเดียวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคหิด หากต้องสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีอาการคัน ในกรณีของผู้ดูแล ควรสวมถุงมือทุกครั้ง
2. อย่าใช้เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้ป่วย
3. เนื่องจากตัวหิดจะมีชีวิตอยู่ภายนอกตัวคนได้ไม่เกิน 3 วัน ดังนั้น ช่วงที่ทำการรักษา ควรนำเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอนไปซักทำความสะอาด
ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคหิด
1. ตัวหิดไม่สามารถกระโดดได้ ซึ่งจะต่างจากตัวหมัด
2. หิดที่อยู่ในร่างกายจะมีชีวิตอยู่ได้นาน 1 – 2 เดือน แต่หากอยู่ภายนอกร่างกายคนจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2 – 3 วัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก…
https://medthai.com/โรคหิด/