HealthDoo.Today

เว็บไซต์ความรู้ด้านสุขภาพ และความงาม

ไอเป็นเลือด ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเสมอไป

การเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่ทุกคนวิตกกังวล เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นไม่ว่าเล็กน้อยหรืออาการหนัก มักมีผลกระทบต่อตัวเองและคนรอบข้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นการหมั่นสังเกตอาการของตัวเองจึงเป็นสิ่งที่ดี พราะเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที แต่ยังมีบางคนที่มองข้ามจนอาการลุกลาม เกิดอาการที่ทำให้ต้องตื่นตะหนก เช่น ไอเป็นเลือด (Haemoptysis) โดยอาจมีสีแดงสด ชมพู หรือมีลักษณะเป็นฟองและมีเสมหะผสม หลายคนตกใจเมื่อไอเป็นเลือด แม้จะมีสุขภาพแข็งแรงดีอาการนี้ก็เกิดขึ้นได้ บางครั้งไอเป็นเลือด โควิด ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงเสมอไปหากมีเลือดเล็กน้อย แต่ถ้าเลือดออกมากควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ร้ายแรงได้

การไอเป็นเลือดสด  อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้าย เช่น วัณโรค มะเร็งปอด หรือมะเร็งในระบบทางเดินหายใจ โรคเส้นเลือดฝอยโป่งพอง โรคหลอดลมโป่งพอง และอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคปอดติดเชื้อต่าง ๆ ปอดบวม หรือการมีฝีที่ปอด

ไอเสมหะติดเลือด คือ อาการไอเป็นเสมหะและมีเลือดติดออกเพียงเล็กน้อย เกิดจากการไอแรงจนเส้นเลือดฝอยที่คอแตก อาจไม่มีอันตรายใดแทรกซ้อน อาการไอเป็นเลือดนั้นแม้จะดูมีความรุนแรงและน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงเสมอไป เพราะอาจเป็นเพียงแค่การไอรุนแรง ไอผิดวิธีจนทำให้เส้นเลือดฝอยที่คอแตกก็ได้ แต่หากมีเลือดติดออกมากและเป็นบ่อยครั้ง แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง

อาการไอเป็นเลือด

ทางเดินอาหารที่กำลังมีปัญหา  ทำให้เวลาไอมักมีอาการดังนี้ร่วมด้วย

1.ไอมีเลือดปนออกมากับน้ำลาย มักมีสีแดงสดปริมาณเล็กน้อย 

2.ไอออกมาเป็นฟอง มีเลือดเป็นลิ่ม ๆ และมีเสมหะผสม 

3.ไอมีเลือดออกมามีสีคล้ำและมีเศษอาหารผสม คล้ายกากกาแฟ 

สาเหตุของการไอเป็นเลือด

อาการไอเป็นเลือดส่วนใหญ่มีสาเหตุจาก

1.โรคหลอดลมพอง คือ หลอดลมขยายตัวอย่างผิดปกติ มีการผลิตเมือกมากในทางเดินหายใจ 

2.การระคายเคืองจากการไอที่มากเกินไป สาเหตุสำคัญหนีไม่พ้นการสูบบุหรี่ 

3.การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ หรือหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลัน (Acute Bronchitis) โรคหลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง  

4.การติดเชื้อในปอด หรือปอดบวม (Pneumonia)

5.วัณโรค มีอาการไอเรื้อรังนานมากกว่า 3 สัปดาห์ มีเสมหะเป็นเลือด ไข้สูง เหนื่อยง่าย น้ำหนักลด และมีภาวะเบื่ออาหารร่วมด้วย

6.โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด คือ ภาวะที่มีการอุดกั้นของหลอดเลือดแดงในปอด 

7.ปัญหาหัวใจและหลอดเลือด ภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรงทำให้มีน้ำในช่องปอด 

8.ปัญหาหลอดเลือดต่าง ๆ ทำให้เลือดออกในทางเดินหายใจและปอด 

9.มะเร็งปอด อาการไอเป็นเลือดหรือเสมหะเป็นเลือด 

10.การรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin Dabitagran และ Rivaroxaban ทำให้เกิดภาวะเลือดออก และไอเป็นเลือดได้

11.การอักเสบและความผิดปกติของเนื้อเยื่อ เป็นภาวะที่เกิดกับทางเดินหายใจหรือปอด เช่น โรคระบบทางเดินหายใจที่มีภาวะเลือดออกในถุงลม และหลอดเลือดฝอยในปอด (Pulmonary Haemosiderosis)  

12.การสูดสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูกและการบาดเจ็บของปอด การสูดสิ่งแปลกปลอมเข้าไป เช่น ของเล่นชิ้นเล็ก ๆ สามารถทำให้ทางเดินหายใจและปอดเสียหายได้ 

13.โรคไซนัส 

14.ภูมิแพ้เรื้อรัง 

15.การแคะแกะเกาจนเส้นเลือดฝอยแตก 

16.พ่นยาผิดวิธี

17.ได้รับบาดเจ็บที่หน้าอก

18.สูดดมสารเคมีเข้าไปจำนวนมาก

วิธีรักษาอาการไอเป็นเลือด

วิธีรักษาอาการไอเป็นเลือดนั้น 0t แตกต่างกันออกไปตามสาเหตุที่เกิด 

1.อาการไม่รุนแรงแพทย์จะจ่ายยาแก้ไอเพื่อบรรเทาอาการ 

2.มีอาการไอเป็นเลือดปานกลาง มีเลือดออกปริมาณ 30-50 มิลลิลิตร ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ควรรีบไปพบแพทย์และรับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้

3.อาการไอเป็นเลือดขั้นรุนแรงเป็นภาวะฉุกเฉิน และมีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิต แพทย์จะรักษาและควบคุมอาการด้วยวิธี ดังนี้  

          3.1.กรณีที่หมดสติจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน แพทย์จะช่วยให้ฟื้นคืนสติด้วยการใส่ท่อช่วยหายใจเข้าทางด้านซ้ายหรือขวาของหลอดลมใหญ่ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเพียงพอต่อความต้องการ เลือดทางหลอดเลือดดำ และสังเกตการแข็งตัวของเลือดร่วมด้วย

          3.2.ตรวจเอกซเรย์หลอดเลือดและสอดสายสวน (การทำบอลลูน) เพื่ออุดหลอดเลือดไม่ให้เลือดออก เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการรักษาอาการไอเป็นเลือดกำเริบขั้นรุนแรง

4.ส่องกล้องตรวจหลอดลม เพื่อดูความผิดปกติของหลอดลม เพื่อวินิจฉัยโรคและรักษา 

5.ใช้น้ำเกลือเย็นจัดในหลอดลมเพื่อชะลอการไหลของเลือด

6.การใช้สารรักษาเฉพาะที่ เช่น ให้สารทรอมบิน (Thrombin) หรือ กาวไฟบรินหยุดเลือดเพื่อทำให้เลือดแข็งตัว

7.การรักษาให้เลือดหยุดด้วยเลเซอร์ (Laser Photocoagulation)

8.ในกรณีที่ปอดมีความเสียหาย แพทย์จะพิจารณาวิธีผ่าตัดบริเวณปอดที่มีเลือดออก ให้เหมาะสมแก่ผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้ 

8.1.ผ่าตัดด้วยการตัดบางส่วนของเนื้อปอดออก (Segmentectomy)

8.2.ผ่าตัดด้วยการเอาปอดออกทั้งกลีบ (Lobectomy)

8.3.ผ่าตัดด้วยการตัดปอดออกทั้งข้าง (Pneumonectomy)

9.การทำรังสีบำบัด เพื่อรักษาเนื้องอกของหลอดเลือด และปอดที่ติดเชื้อราแอสเพอร์จิลลัส

10.การใช้ยายับยั้งการสลายลิ่มเลือด อาจช่วยลดระยะเวลาที่เลือดออกได้

11.ยาสเตียรอยด์ สามารถช่วยได้ เมื่อมีอาการอักเสบหลังเลือดออก

12.ยาปฏิชีวนะ ใช้รักษาในกรณีปอดบวม หรือวัณโรค

13.การถ่ายเลือด โดยรวมถึงองค์ประกอบของเลือดด้วย เช่นพลาสมาที่เป็นปัจจัยการแข็งตัวของเลือด หรือเกล็ดเลือด หากมีปัญหาการแข็งตัวของเลือดหรือเลือดที่จางมากเกินไป 

การป้องกันอาการไอเป็นเลือด

ไอเป็นเลือด ส่วนใหญ่ไม่ใช่อาการที่ร้ายแรง แต่ควรป้องกันตัวเองด้วยการ

1.ดูสุขภาพร่างกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 

2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง 

3.ไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ซึ่งทำลายสุขภาพปอดและทางเดินหายใจ 

4.ระวังการสูดเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าปากหรือจมูกในเด็กเล็ก ซึ่งจะส่งผลให้ทางเดินหายใจและปอดเสียหายได้ 

อาการ ไอเป็นเลือด มักเป็นอาการที่คนส่วนใหญ่หวั่นวิตกเป็นอย่างยิ่ง ที่จริงแล้วไอเป็นเลือด โควิด อาจไม่ได้มีอาการบ่งชี้ใด ๆ ก็ได้ อย่าเพิ่งหวั่นวิตกไปก่อน เพราะบางครั้งการที่ไอแรงเกินไปก็ทำให้มีเลือดปนออกมาได้ แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรมองข้ามควรตระหนักว่าอาจมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย ที่จู่ ๆ เกิดอาการไอเป็นเลือด ขึ้นมา อาจเป็นการบ่งบอกได้ว่า มีการสะสมความผิดปกติเอาไว้ในร่างกายมาเป็นระยะเวลานานแล้ว และเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่รอวันแสดงอาการให้เห็น ดังนั้นเมื่อมีอาการให้รีบมาพบแพทย์โดยเร็ว healthdoo.today เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และรักษาอย่างถูกต้องแม่นยำ