HealthDoo.Today

เว็บไซต์ความรู้ด้านสุขภาพ และความงาม

ถุงใต้ตาดูแลรักษาอย่างไรให้หายไปจากใบหน้า

ถุงใต้ตาดูแลรักษาอย่างไรให้หายไปจากใบหน้า

ถุงใต้ตา

บริเวณเบ้าตาจะมีถุงไขมันอยู่จำนวน 5 ถุง ซึ่งเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว มีบริเวณเปลือกตาบน 2 ถุง และ เบ้าตาล่าง 3 ถุง และ ที่มีปัญหาก็คือ 3 ถุงข้างล่างนี่ล่ะค่ะ หากเราใช้สายตาบ่อย พักผ่อนน้อย ดื่มน้ำไม่เพียงพอ ร้องไห้หนัก หรือ แม้กระทั่งภูมิแพ้

ถุงใต้ตา

ก็จะเกิดอาการระคายเคืองได้ และ ความหย่อนคล้อยบริเวณใต้ดวงตานั้น ก็เกิดจากถุงไขมันบริเวณเบ้าตาล่าง เกิดการคลั่งน้ำ หรือ เกิดการหมุนเวียนภายในหลอดเลือดบริเวณนั้นไม่คล่องจึงทำให้ถุงไขมันทั้ง 3 บวมใหญ่ขึ้น

เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าบริเวณผิวหนังใต้ตาของเรานั้นเป็นอะไรที่บอบบางมากอยู่แล้ว ปัญหาถุงใต้ตานับว่าเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคนอยู่ไม่น้อย ซึ่งการเกิดถุงใต้ตานั้นมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นจากกรรมพันธุ์

หรือการใช้ชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อมต่าง ๆ และ ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่สามารถยับยั้งให้เกิดขึ้นได้อย่างถาวร แต่เราก็สามารถลดปัญหานี้ได้หากเราดูแลอย่างถูกวิธี ทีนี้เรามาดูสาเหตุของการเกิดถุงใต้ตากันค่ะ

สาเหตุการเกิดถุงใต้ตา

ถุงใต้ตาจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ถุงใต้ตาแท้ และ ถุงใต้ตาเทียม

-ถุงใต้ตาแท้ เป็นถุงใต้ตาที่เกิดจากกรรมพันธุ์ และ ระบบต่อมไร้ท่อภายในร่างกายทำงานผิดปกติ จึงทำให้ไขมัน และ ของเหลวไหลมารวมกันบริเวณผิวหนังใต้ตามากจนเกินไป

ทำให้เกิดการป่องนูน สาเหตุที่พบได้บ่อย คือความเสื่อมของผิวหนังของเนื้อเยื่อที่รองรับถุงไขมันเกิดการหย่อนตัวลงตามวัยที่เพิ่มขึ้น

-ถุงใต้ตาเทียม คือ อาการบวมน้ำที่เกิดขึ้นบริเวณใต้ตาล่าง หรือ ที่เรียกว่า “ตาบวม” ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น ระบบการไหลเวียนในร่างกายไม่ดี ทำให้มีของเหลวไปคั่งบริเวณใต้ตา

โดยมักเกิดจากพฤติกรรมที่ไม่ปกติ เช่น การร้องไห้หนักมาก ชอบขยี้ตา พักผ่อนน้อย ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ใช้สายตามากเกินไป หากพักผ่อนเพียงพอ และ ดูแลตัวเองพร้อมกับหมั่นประคบเย็น อาการตาบวมก็จะค่อย ๆ หายไปได้เอง

วิธีรักษาถุงใต้ตาแท้

1. ผ่าตัดถุงใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีถุงไขมันใต้ตามากผิดปกติ และ มีผิวใต้ตาหย่อนคล้อยเป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาถุงใต้ตาแท้ และ เก็บผิวหนังส่วนเกินออก ซึ่งวิธีนี้สามารถช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ โดยแพทย์จะทำการซักประวัติคนไข้ก่อนว่าสมควรผ่าตัดหรือไม่ ซึ่งในขั้นตอนการผ่าตัดนั้นแพทย์จะใช้วิธีการวางยาสลบ

และ จะใช้มีดผ่าตัด หรือ ใช้เลเซอร์ก็แล้วแต่ แล้วลงมือเปิดแผลด้านในเปลือกตาล่างบริเวณเยื่อบุตา เพื่อเอาถุงไขมันใต้ตาออกไป ข้อดีของการกรีดแผลจากด้านในก็คือจะมองไม่เห็นรอยแผล แต่จะมีข้อเสียก็คือ ปัญหา “ร่องตาลึก” ที่มองเห็นได้ชัด ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนั้นจะเป็นการรักษาแบบเดิม

วิธีรักษาถุงใต้ตาแท้
CR. https://dianenivern.com/plasma-non-surgical-eyelid-lift-eye-bag-reduction-manchester/

ส่วนการรักษาแบบใหม่ แพทย์จะใช้วิธี “การถมไขมัน” คือแพทย์จะไม่พยายามเอาไขมันออกแต่จะเป็นการขยับไขมันออกจากพื้นที่เดิม

โดยดันให้ไขมันลงไปอยู่ “ร่องลึกข้างตา” และ จัดวางให้ถูกที่ แล้วยึดไขมันไว้ให้ถูกตำแหน่ง จากนั้นแพทย์จะทำการยึดกล้ามเนื้อให้ตึง โดยขึงไว้กับหางตาด้านข้าง

และ เมื่อดันไขมันออกจากพื้นที่เดิมแล้วผิวหนังบริเวณนั้นก็จะเกิดการหย่อนเป็นส่วนเกิน ศัลยแพทย์ก็จะทำการตัดเก็บหนังส่วนเกินออก แล้วเย็บปิดแปลให้สนิท ซึ่งวิธีนี้ดีที่สุดในการรักษาอยู่ขณะนี้

แต่ก็ไม่ควรคาดหวังว่าการผ่าตัดแบบใหม่นี้จะทำให้ผิวใต้ตาดูเรียบตึง เพราะการผ่าตัดจะมีข้อจำกัดในเรื่องปัญหาการดึงรั้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ จึงต้องอาศัยศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญสูง

2. การใช้ยาละลายไขมัน ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีการรักษา แต่ไม่ขอแนะนำให้รักษา เนื่องจากมีรายงานทางการแพทย์ว่าเคยมีผู้ป่วยที่ใช้วิธีนี้แล้วเกิดตาบอด เพราะเกิดการอักเสบของไขมันที่มากจนเกินไป

การฉีดสารเติมเต็ม
CR. https://dermcollective.com/tear-trough-fillers/

3. การฉีดสารเติมเต็ม โดยการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปบริเวณร่องตา เพื่อเป็นการแก้ปัญหาบริเวณถุงใต้ตาที่เป็นอยู่ดูชัดน้อยลง ถ้าทำไม่ดีก็อาจทำให้ถุงใต้ตาดูชัดมากขึ้นได้

4. การลดถุงใต้ตาด้วยคลื่นวิทยุ หรือ ที่เรียกกันว่า “Thermage” วิธีนี้จะเป็นเพียงการช่วยยกกระชับผิวใต้ตา ซึ่งจะทำให้ถุงใต้ตาดูเล็กลง แต่ก็ไม่สามารถทำให้ปัญหาถุงใต้ตาที่เป็นอยู่หายขาดไปได้

วิธีการรักษาถุงใต้ตาเทียม

1. อันดับแรกต้องดูแลตัวเองก่อน ลดอาหารเค็ม เพราะอาหารที่มีรสเค็ม จะทำให้ร่างกายเกิดการบวมน้ำ ยิ่งถ้าวันไหนมีถุงใต้ตาบวม ร่างกายก็จะเกิดการกักเก็บน้ำ ทำให้ถุงใต้ตาที่มีอยู่เดิมไม่หายไป

ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 – 10 แก้ว ต่อวัน เพื่อช่วยไม่ให้เซลล์ผิวหนังต้องขาดน้ำ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดอาการบวมใต้ตาได้ดี การดื่มน้ำยังช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง บริเวณรอบดวงตา หากมีน้ำหล่อเลี้ยงไม่พออาจเกิดการอักเสบแดงขึ้นได้

งดการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะทำให้เซลล์ผิวหนังอ่อนแอ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดถุงใต้ตาและรอยตีนกา ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และ หลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะจะส่งผลทำให้เกิดอาการบวมน้ำได้

ไม่ขยี้ตาแรง ๆ เพราะจะทำให้ตาบวมมากขึ้น เปลี่ยนท่านอนจากนอนคว่ำเป็นนอนหงาย เนื่องจากการนอนคว่ำจะทำให้น้ำไปคั่งอยู่บริเวณขอบตาล่างได้ เมื่อเราเปลี่ยนท่านอนเป็นนอนหงายแล้วก็ควรใช้หมอนหนุนศีรษะให้สูง

อันดับแรกต้องดูแลตัวเองก่อน

2. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ นอนให้เต็มอิ่มอย่างน้อย 6 – 10 ชั่วโมง หากเราพักผ่อนไม่เพียงพอ กระบวนการเผาผลาญก็จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เนื่องจากร่างกายของคนเราจะมีระบบเผาผลาญไขมัน

และ น้ำในร่างกายในเวลากลางคืน เมื่อเรานอนหลักพักผ่อนไม่เพียงพอ ตื่นเช้ามาก็จะเจอกับปัญหาถุงใต้ตา หากเราจะป้องกันการเกิดถุงใต้ตาก็เพียงแค่หนอนหลับให้เต็มอิ่ม

ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

3. อย่าร้องไห้บ่อย เนื่องจากเวลาเราร้องไห้ จะทำให้เกิดถุงใต้ตาบวม

4. พักสายตา หากเราต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ควรพักสายตาทุก ๆ 15 นาที โดยการมองออกไปไกล ๆ หรือ มองสีเขียว ๆ ที่เป็นธรรมชาติ เช่นต้นไม้ อย่าขยี้ตาถ้าไม่จำเป็น หากรู้สึกอ่อนล้าให้นวดคลึงเบา ๆ

5. รักษาโรคภูมิแพ้ ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษา หรือ บรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ เนื่องจากถุงตาตาบวมส่วนหนึ่งมาจากโรคภูมิแพ้

6. ถุงชาที่ใช้แล้ว สารคาเฟอีนในถุงชามีสรรพคุณช่วยลดอาการบวมใต้ผิวหนังได้ เพียงแค่นำถุงชาที่ใช้แล้วมาประคบบริเวณถุงใต้ตา อาการบวมจะค่อย ๆ ยุบตัวลง แล้วจึงล้างหน้าปกติ

7. ประคบเย็นหากตื่นเช้ามาพบกับถุงใต้ตาบวม ให้นำแตงกวาแช่เย็นหั่นแล้วนำมาประคบบริเวณถุงใต้ตาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ความเย็นจะช่วยคลายอาการบวมน้ำของถุงใต้ตาออกไปได้

8. ลดถุงใต้ตาด้วยการกดนวด โดยการใช้นิ้วชี้ กดลงบริเวณถุงใต้ตาให้ปลายนิ้วอยู่บนเนินจมูกค้างไว้ 10 วินาที ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกว่าถุงใต้ตาที่บวมเริ่มลดลง

ปัญหาถุงใต้ตา บวมจะไม่สร้างความกังวลให้กับคุณอีกต่อไป เพียงแค่หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นในการเกิดปัญหา โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ชอบนอนดึก นอนไม่พอ ทำงานหนัก ใช้สายตามาก คุณนำวิธีเหล่านี้ไปใช้รับรองได้เลยว่าปัญหาถุงใต้ตาบวมจะไม่มากวนใจอีกต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก..

https://medthai.com/ถุงใต้ตา/