HealthDoo.Today

เว็บไซต์ความรู้ด้านสุขภาพ และความงาม

ยาคุมกำเนิด ป้องกันการท้องก่อนวัยอันควร

จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าสังคมไทยได้ปรับตัวจากครอบครัวขยายมาเป็นครอบครัวมากขึ้น และมีการวางแผนครอบครัวตั้งแต่แต่งงานว่าจะมีสมาชิกในครอบครัวกี่คน ดังนั้นสาว ๆ ยุคใหม่ควรมีความรู้เรื่องการคุมกำเนิด ไม่ว่าจะอายุเท่าไร หรืออยู่ในวัยใดก็ตาม เพราะการคุมกำเนิดสามารถป้องกันการท้องก่อนวัยอันควร และช่วยในเรื่องการวางแผนครอบครัวอีกด้วย ยาคุมกำเนิด จึงมีส่วนเป็นตัวเลือกที่สำคัญมาก แต่การเลือกยาคุมกำเนิดควรพิจารณายาคุมกำเนิด ออกฤทธิ์ ภายใน กี่ วัน ทั้งข้อดีและข้อควรระวังในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการใช้ยา ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร

ชนิดของยาคุมกำเนิด

ยาคุมกำเนิด แบบเม็ดเป็นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สามารถแบ่งยาคุมกำเนิด ได้เป็น 2 กลุ่ม   คือ ฮอร์โมนรวม (เอสโตรเจนและโปรเจสติน) และฮอร์โมนเดี่ยว (โปรเจสติน) แบบฮอร์โมนรวมได้รับความนิยมสูงสุด ส่วนแบบฮอร์โมนเดี่ยวพิจารณาใช้กรณีมีข้อห้ามใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรหลังคลอด หรือกรณีใช้เป็นยาคุมฉุกเฉิน

ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม 

อาจมีจำนวนเม็ดในแผงยาแตกต่างกัน ฮอร์โมนแต่ละชนิดในกลุ่มเอสโตรเจนให้ผลป้องกันการตั้งครรภ์ได้พอ ๆ กัน การใช้เอสโตรเจนขนาดต่ำจะลดอาการไม่พึงประสงค์ได้มาก โดยเฉพาะอาการคลื่นไส้ ท้องอืดและเจ็บคัดเต้านมได้ ส่วนใหญ่จะมีแผงละ 21 หรือ 28 เม็ด 

1.ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมแผงละ 21 เม็ด ทุกเม็ดจะมีตัวยาทั้งหมด (ไม่มีเม็ดแป้ง) ให้รับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน วันละ 1 เม็ด จนหมดแผง หลังหยุดยาประมาณ 1-3 วันจะเริ่มมีประจำเดือน ให้เริ่มทานแผงใหม่วันที่ 5 ของประจำเดือน

2.ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมแผงละ 28 เม็ด โดยทั่วไปมีตัวยาฮอร์โมนจำนวน 21 เม็ดและไม่มีตัวยาหรือเรียกว่า “เม็ดแป้ง” อีก 7 เม็ด ให้รับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน วันละ 1 เม็ด ช่วงที่รับประทานเม็ดแป้งไปประมาณ 1-3 เม็ดจะเริ่มมีประจำเดือนมา เมื่อยาจนหมดแผงแล้วขึ้นแผงใหม่ต่อเนื่องกันไป   

 ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว 

จะมีฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว ยาคุมชนิดนี้ในหนึ่งแผงจะมีทั้งหมด 28 เม็ด รับประทานได้ทุกวันโดยไม่ต้องหยุด เมื่อรับประทานหมดแล้วก็สามารถรับประทานแผงใหม่ต่อได้เลย เป็นชนิดที่ผลิตออกมาเพื่อลดอาการข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน  มี 2 แบบ 

1.ชนิดฮอร์โมนโปรเจสโตเจนขนาดต่ำเท่ากันทุกเม็ด 

2.ชนิดฮอร์โมนโปรเจสโตเจนขนาดสูง คือยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินซึ่งไม่แนะนำให้ใช้เป็นมาตรฐาน ควรใช้เฉพาะกรณีฉุกเฉินมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกันหรือการคุมกำเนิดที่ใช้อยู่ผิดพลาด เช่น ถุงยางแตก รั่วหรือ หลุด เป็นต้น 

ข้อดียาคุมกำเนิด 

ยาคุมกำเนิด ชนิดเม็ดเป็นการคุมกำเนิดที่เป็นตัวเลือกแรก ๆ เพราะสะดวกหาซื้อง่าย และเมื่อหยุดใช้ยังสามารถกลับมามีบุตรได้ ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งรังไข่ และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก รวมถึงทำให้อาการสิวดีขึ้น การปวดประจำเดือนลดลง เพิ่มมวลกระดูก ลดการสร้างฮอร์โมนเพศชายจากโรคถุงน้ำในรังไข่ เลือดประจำเดือนมาลดลง และตรงเวลา ลดอาการก่อนประจำเดือน เช่น ปวดท้อง ปวดเอว

วิธีรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด 

ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำสม่ำเสมอ ควรดูวันหมดอายุก่อนใช้ยาเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด การลืมทานยาหรือทานไม่ถูกวิธี อาจจะทำให้เกิดผลเสีย เช่น ทำให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอย และเมื่อลืมบ่อย ๆ อาจเกิดการตั้งครรภ์ได้   วิธีรับประทานที่ถูกต้อง คือ

1.เริ่มรับประทานภายในวันที่ 5 ของวันที่มีประจำเดือน โดยนับวันแรกที่มีประจำเดือนเป็นวันที่ 1  

2.ให้รับประทานยาอย่างต่อเนื่องทุกวัน ในช่วงเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เพื่อประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดดีที่สุด

3.กรณีลืมกินยาคุมกำเนิดให้รับประทานทันทีที่นึกได้ และรับประทานเม็ดต่อไปตามปกติ 

4.ลืมรับประทาน 2 เม็ดติดต่อกันในช่วง 2 สัปดาห์แรกให้รับประทานยา 2 เม็ดติดต่อกัน 2 วัน แล้วรับประทานต่อตามปกติจนหมดแผงให้ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย 

5.ลืมรับประทานยา 2 เม็ดติดกันในช่วงสัปดาห์ที่ 3 หรือลืมมากกว่า 2 เม็ดในช่วงใดก็ตามให้หยุดยาแผงนั้นจนกว่าจะมีประจำเดือนจึงเริ่มแผงใหม่ ให้ใช้ถุงยางอนามัยหรืองดการร่วมเพศ

6.ก่อนกินยาคุมกำเนิดแผงใหม่ทุกครั้ง ควรตรวจเช็คดูวันหมดอายุก่อนใช้ยา เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม

ผลข้างเคียงในอดีตของยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม มักทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้แก่ 

1.ทำให้ประจำเดือนมาน้อยลง 

2.มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ 

3.ยาคุมเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน ทำให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง

4.ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ ไม่ควรรับประทานเพราะฮอร์โมนที่รับประทานอาจเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

5.น้ำหนักตัวเพิ่ม 

6.บวมน้ำ 

7.ฝ้าขึ้น ในปัจจุบันพบได้น้อยลงมาก เพราะปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนในตัวยาถูกลดปริมาณลง

ข้อแนะนำในการรับประทานยาคุม

1.ควรรับประทานยาคุมกำเนิดในเวลาเดิมทุกวัน หากลืมรับประทานยาให้รีบรับปรทานทันทีที่นึกได้

2.ห้ามรบประทานยาคุมกำเนิดหลังวันหมดอายุที่แจ้งไว้บนแผงยา

3.ควรงดการสูบบุหรี่ เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ยาคุมกำเนิดก็มีฮอร์โมนที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคลิ่มเลือดอุดตัน

4.หากมีอาการผิดปกติ เช่น ท้องเสีย ถ่ายเหลว และอาเจียนจะมีผลทำให้การดูดซึมของยาน้อยลง จึงควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัย 

5.สำหรับสตรีให้นมบุตร ควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนเพียงอย่างเดียว

หากพูดถึงวิธีคุมกำเนิดที่นิยมมากที่สุดคงไม่พ้นการการรับประทานยาคุมกำเนิด ยาชนิดเม็ด เพราะนอกจากจะรับประทานง่ายแล้วยังราคาไม่แพงอีกด้วย ยาคุมกำเนิดอาจเป็นตัวช่วยในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ให้ผลดี แต่ยาคุมกำเนิด ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้นการรับประทานยาคุมกำเนิดควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อความปลอดภัย และป้องกันผลข้างเคียงที่อาจตามมาได้ แต่ไม่ว่าจะเลือกคุมกำเนิดด้วยวิธีใดก็ตาม ควรมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน ยาคุมกำเนิดที่วางขายในปัจจุบันต่างกันแค่ชนิดของฮอร์โมน เจเนเรชั่นของฮอร์โมน และปริมาณของฮอร์โมน ยาคุมกำเนิด เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ หากรับปรทานอย่างถูกต้อง ปัญหายาคุมกำเนิด ออกฤทธิ์ ภายใน กี่ วัน ที่มักจะพบคือการรับประทานผิดวิธี ทำให้การคุมกำเนิดเสื่อมประสิทธิภาพลง ดังนั้นการทำความเข้าใจในการเลือกใช้ยาคุมกำเนิด คือความมีวินัยในการรับประทานต้องสม่ำเสมอเพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ และสิ่งสำคัญคือไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส ไวรัสตับอักเสบบี และการติดเชื้อไวรัสเอสพีวี(HPV) ดังนั้นการเลือกยาคุมกำเนิดควรพิจารณาทั้งข้อดีและข้อควรระวังในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการใช้ยา ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร healthdoo.today เพื่อพิจารณาในการตัดสินใจก่อนใช้ยาคุมกำเนิด