HealthDoo.Today

เว็บไซต์ความรู้ด้านสุขภาพ และความงาม

ปากแห้ง ดูแลอย่างไรให้ปากกลับมาชุ่มชื้น

ปากแห้ง

ปากแห้ง  อีกหนึ่งปัญหาของใครหลาย ๆ คน ยิ่งอากาศเย็น อากาศหนาวด้วยแล้ว ทั้งลอกเป็นขุย ตกสะเก็ด เจ็บแสบ บวม  ทาลิปสติกก็ไม่สวย เพราะทายังไงก็มักจะเกิดคราบ

ปากแห้ง
CR https://www.kin.es/en/dry-mouth-syndrome/

ยิ่งผู้หญิงอย่างเรา ๆ ด้วยแล้ว ๆ ต้องมาเสียความมั่นใจไปเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นเรา จึงได้รวบรวม สาเหตุของอากาศปากแห้ง วิธีการป้องกัน และดูแลอย่างไรให้ปากกลับมาชุ่มชื้นมาฝากกันค่ะ

อาการปากแตก

อาการปากแตกโดยทั่วไป ที่มีสาเหตุมาจากสภาพอากาศทั้งอากาศเย็น และอากาศร้อนเนื่องจากถูกแสงแดด การเลียริมฝีปาก และการใช้ยาบางชนิด มักมีอาการริมฝีปากแห้ง แตกเป็นขุย หรือเป็นสะเก็ด มักจะมีอาการเจ็บ แสบ บวม หรือมีเลือดออกบริเวณริมฝีปากที่แตก

สาเหตุที่ทำให้ปากแห้ง

-สภาพอากาศ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ริมฝีปากของคุณแห้งแตกได้โดยเฉพาะสภาพอากาศหนาวเย็น มีลมพัดและแห้ง สภาพอากาศที่เย็นและแห้งจะทำให้ความชุ่มชื้นหายไป

ทำให้ริมฝีปากเสียความชุ่มชื่น รวมไปถึงการโดนแสงแดดมากเกินไปก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ปากแห้งได้เช่นกัน

-การเลียริมฝีปาก ชอบเลียริมฝีปาก ไม่ได้ทำให้ปากมีความชุ่มชื้นขึ้น แต่เพราะน้ำลายจะดึงเอาความชุ่มชื้นจากริมฝีปากและทำให้ปากแห้งลงเพราะน้ำลายมีเอนไซม์ที่สามารถทำลายความชุ่มชื้นบริเวณริมฝีปากได้ด้วย

การเลียริมฝีปาก

-ดื่มน้ำน้อยเป็นอีกสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ริมฝีปากแห้ง เพราะร่างกายจะต้องอาศัยน้ำในการรักษาความชุ่มชื้น ดังนั้นเมื่อคุณดื่มน้ำน้อย จึงทำให้ผิวแห้ง รวมไปถึงริมฝีปากของคุณจะแห้งตามไปด้วย

-การใช้ยารักษาโรคหรืออาหารเสริมบางชนิด อาจทำให้บางคนปากแห้งได้ เช่น วิตามิน เอ เรตินอยด์ (Retinoids) ยาลิเทียม (Lithium) หรือยาเคมีบำบัด โดยอาการเหล่านี้จะดีขึ้นหลังจากที่คุณหยุดยา

-โรคผิวหนัง อย่างเช่นภูมิแพ้ผิวหนัง ก็อาจทำให้ริมฝีปากแห้งลอกไปด้วย

-ขาดสารอาหาร เช่นขาดวิตามินซี หรือวิตามินบี ส่งผลให้ผิวของคุณหยาบกระด้าง และทำให้ริมฝีปากของคุณแห้งไปด้วย

-เกิดจากการใช้สารเสพติด เช่น การสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนแต่ทำให้เกิดอาการปากแห้งได้ง่ายมาก

-เกิดจากการแพ้ลิปสติก สังเกตได้ง่าย ๆ ว่าถ้าคุณเปลี่ยนลิปสติกแล้วมีปัญหาปากแห้งแตกในทันที ก็มั่นใจได้เลยว่าสาเหตุมาจากลิปสติก

เป็นโรคภูมิต้านตนเอง
CR. https://advancedfunctionalmedicine.com.au/autoimmune-disease-treatment-perth-reversing-autoimmunity/

-เป็นโรคภูมิต้านตนเอง หรือโรคออโตอิมมูน (Autoimmune disease) มักจะมีอาการปากแห้ง ปากแตก เป็นแผลที่ริมฝีปาก เวลาพูด หรือกลืนอาหารจะรู้สึกเจ็บ ไม่รับรู้ถึงรสชาติของอาหาร เพราะต่อมน้ำลายถูกทำลาย รวมทั้งมีอาการตาแห้งด้วย

ภาวะความเสี่ยงปากแตกรุนแรงจนริมฝีปากอักเสบได้

มักจะมีอาการดังนี้

-ตรงมุมปากจะแตก และลามทั่วริมฝีปาก

-ริมฝีปากมีสีแดงหรือสีชมพูเข้ม บางแสบ

-ริมฝีปากแตกเป็นก้อน มีเลือดซึม

-ริมฝีปากลอกออกมาเป็นแผ่นขาว และมักจะเลือดออก

-มีแผลอักเสบ เห็นเป็นเนื้อแดง

ดูแลอย่างไรให้ปากกลับมาชุ่มชื้น

วิธีดูแลตนเองเมื่อปากแห้ง

ปากแห้ง สามารถดูแลตัวเองด้วยวิธีดังต่อไปนี้

-หาสาเหตุของการทำให้ริมฝีปากแห้งและแก้ไขตรงจุดนั้น ๆ เช่นหากเกิดจากการดื่มน้ำน้อย ก็ให้แก้ โดยการดื่มน้ำเยอะ ๆ และหากเกิดจากการแพ้ลิปสติกก็ให้เปลี่ยนเป็นลิปบาร์ม

-ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ ควรดื่มให้มากกว่าวันปกติ ให้ดื่มน้ำเปล่าสะอาดที่มีอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นกว่าอุณหภูมิทั่วไป หลายคนสงสัยว่าแล้วจะทราบได้อย่างไรว่าร่างกายต้องการน้ำในปริมาณเท่าใด

ซึ่งปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการต่อวันสามารถคำนวณได้จากสูตร ดังนี้ น้ำหนักตัว ( กิโลกรัม ) / 2 x 2.2 x 30 หน่วยเป็นมิลลิลิตร =ปริมาณน้ำที่ต้องการต่อวัน

-อมลูกอม หรือเคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล เพื่อช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายสามารถผลิตน้ำลายออกมาได้มากขึ้น

-หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ หากใครที่สูบบุหรี่ก็ควรงดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้อาการปากแห้งแย่ลงกว่าเดิม

-เลี่ยงพฤติกรรมการเลียริมฝีปาก เม้มปาก หรือแกะลอกริมฝีปาก ไม่กัดหรือเลียริมฝีปาก เพราะน้ำลายอาจทำลายความชุ่มชื้นบนริมฝีปากจนทำให้ปากแห้งและแตกได้

-สครับสำหรับริมฝีปาก เพื่อให้เซลล์ผิวหนังตายหลุดออก โดยสามารถทำเองได้ ให้ใช้น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน น้ำผึ้ง 1 ส่วน และน้ำมันมะกอกอีก 1 ส่วน นำมาผสมให้เข้ากัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาสครับเบา ๆ เพื่อลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดลอกออกไป

-ใช้น้ำอุ่นผสมเกลือ ในรายที่ปากแห้งแตกจนลอกเป็นขุย ๆ ให้คุณใช้น้ำอุ่นผสมกับเกลือป่นเล็กน้อย จากนั้นใช้สำลีชุบให้เปียกพอหมาด ๆ แล้วใช้ปากคาบทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที หรือจะไล่เช็ดเบา ๆ ก็ได้ให้ทั่วริมฝีปาก ก็จะช่วยทำให้ขุยต่าง ๆ หลุดลอกออกมาได้

-บำรุงปากระหว่างวัน หากสังเกตได้ว่าปากแห้ง จึงต้องเติมลิปแคร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินอีบ่อย ๆ และพกติดตัวเป็นประจำ ยิ่งเวลาอยู่ในห้องแอร์หรือข้างนอกนาน ๆ ยิ่งต้องทา เพื่อรักษาความชุ่มชื้นไว้

-การเลือกใช้ยาสีฟันก็มีส่วนทำให้ริมฝีปากแห้งได้ ควรเลือกใช้ยาสีฟันที่ไม่มีสารเคมี ใช้สูตรสมุนไพรหรือธรรมชาติ หากเลือกยาสีฟันที่มีส่วนผสมของเมลทอล ความเย็นจากเมนทอลจะทำให้ปากแห้ง ขาดความชุ่มชื้นและหลุดลอกได้

-ล้างปากทุกครั้งหลังรับประทานอาหารโดยเฉพาะหลังรับประทานผลไม้ เพราะกรดจากผลไม้อาจลดความชุ่มชื้นของริมฝีปากได้

-หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัดหรือเค็มจัด ซึ่งจะทำให้ร่างกายขับน้ำ เป็นผลให้ผิวขาดความชุ่มชื่น รวมทั้งทำให้ปากแห้งได้

-รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี อย่างธัญพืชไม่ขัดขาว เช่นข้าวกล้อง ผักใบเขียว เช่น ผักโขม บรอกโคลี คะน้า และถั่วเปลือกแข็ง เช่นพวกเมล็ดอัลมอนด์ ถั่วลิสง มะม่วงหิมพานต์

-น้ำมันมะกอก ใช้ทาบางๆ ที่ริมฝีปาก บรรเทาอาการแห้งตึงและเจ็บ ริมฝีปากจะรู้สึกสบายและนุ่มขึ้น นอกจากนี้ วิตามินอี วิตามินเอในน้ำมันมะกอกยังช่วยป้องกันการทำลายจากแสงแดดและอนุมูลอิสระได้ดีอีกด้วย

-น้ำผึ้ง ทาน้ำผึ้งบาง ๆ จะช่วยคืนความชุ่มชื้นนุ่มนวลให้ริมฝีปาก สารแอนติออกซิแดนท์ในน้ำผึ้งช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ อุดมด้วยสารฆ่าเชื้อและป้องกันการติดเชื้อ ในกรณีที่ปากแตกมาก ช่วยให้ไม่เกิดการอักเสบและช่วยสมานแผลให้หายเร็ว

ทาน้ำผึ้งบาง ๆ

-น้ำตะไคร้หอม มีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ ต้มจิบแทนน้ำ สามารถช่วยแก้ริมฝีปากแห้งแตกได้

-กินอาหารอ่อน ๆ ยิ่งผู้บาดเจ็บต้องเคี้ยวอาหารน้อยเท่าไหร่ ยิ่งลดโอกาสที่แผลจะเปิดได้มากเท่านั้น และควรดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อคงความชุ่มชื้นให้ร่างกายและเนื้อเยื่อ และยังช่วยป้องกันไม่ให้แผลเปิดอีกด้วย

-หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนเกลือหรือมะนาว เพราะจะทำให้แสบแผลได้

-หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่แข็ง กรอบ หรือแหลมคม หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนเกลือหรือมะนาว เพราะจะทำให้แสบแผลได้

วิธีป้องกันปากแห้ง

-ควรดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย วันละ 8-10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร

-ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ ใช้ไหมขัดฟัน และน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ร่วมด้วย

-ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สำหรับใครที่มักหายใจทางปาก ให้ฝึกหายใจทางจมูกบ่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการปากแห้งได้ง่าย

-เพิ่มความชื้นในห้อง ด้วยเครื่องทำความชื้นในอากาศขณะนอนหลับ

-ควรเลือกใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หรือบำรุงผิวริมฝีปากไปพร้อมๆ กัน และควรเลือกใช้ลิปสติกที่มีส่วนผสมจากสารกันแดด เพราะแสงแดดจะทำลายผิวปากให้หมองคล้ำ ซึ่งจะทำให้ปากแห้งด้วยนั่นเอง

-ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามินตามธรรมชาติสูง โดยเฉพาะวิตามินบีและวิตามินเอที่มีส่วนในการเสริมสร้างเคราติน ( Keratin )

ที่มีหน้าที่ในการลดอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่อยู่ในแสงแดดและช่วยลดการระเหยของน้ำจากผิวหนังที่บริเวณริมฝีปาก

หลังพยายามรักษาด้วยตนเองแล้ว หากอาการปากแตกยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ และตรวจริมฝีปากของผู้ป่วยเพื่อประเมินอาการ