ฝ้าแดด การดูแล รักษาและป้องกัน
Table of Contents
ฝ้าแดด
ฝ้าแดด เป็นปัญหาด้านผิวพรรณบนใบหน้าสำหรับสาว ๆ มักพบในวัย 30 ปีขึ้นไป ซึ่งสามารถเกิดได้ทุกส่วนบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม เป็นสิ่งที่มาคอยกวนใจสาว ๆ ถือว่าเป็นการรักษาที่เห็นผลได้ช้า และยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลที่แน่ชัด
จึงต้องหมั่นดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันการเกิดฝ้าได้อีก วันนี้เราจะศึกษาวิธีการดูแล ป้องกันและรักษาฝ้ากระแดด เพื่อให้ผู้ที่กำลังมีปัญหาด้านผิวพรรณอยู่ได้ศึกษาหารายละเอียดเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติในการหลีกเลี่ยงการเกิดฝ้าได้เป็นอย่างดี
ฝ้าแดดคือ เกิดจากอะไร
ฝ้าแดด คือการที่ได้รับแสงรังสียูวีจากแสงแดด แสงไฟ แสงจากคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง หรือเม็ดสีเมลานิน (Melanin pigment) ทำงานผิดปกติ ส่วนใหญ่มาจากการที่ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด
หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อรังสี UV ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เนื่องจากเม็ดสีเมลลานินมีหน้าที่กรองรังสี UV เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย
จึงเกิดเป็นฝ้าซึ่งมีลักษณะเป็นสีดำอมน้ำตาล น้ำตาลคล้ำ ดำ แดง หรือเทาอมม่วง ขึ้นเป็นแถบหรือปื้นบริเวณใบหน้า เพราะชีวิตประจำวันของเราโดนแสงแดดและรับรังสียูวีทุกวัน ดังนั้นจึงทำให้สะสมจนฝ้าเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ได้
การดูแลป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากฝ้าแดด
-หลีกเลี่ยงความร้อน
ดูแลปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ พยายามหลีกเลี่ยงความร้อนทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ซาวน่า หน้าเตาทำอาหาร โยคะร้อน เพราะความร้อนกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นและยังเป็นสาเหตุของฝ้าเลือดอีกด้วย
-ทาครีมกันแดด
แดดเป็นสาเหตุสำคัญเลยค่ะ ที่ทำให้เกิดฝ้าและผิวเสียอีกหลาย ๆ อย่าง ควรทาครีมกันแดด ที่มีส่วนในการป้องกัน รังสี UV โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ขึ้นไป และต้องเป็นแบบ PA+++ ด้วย
ถึงจะช่วยปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าต้องอยู่ภายใต้แสงแดดตลอดทั้งวัน คุณอาจเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมากกว่านี้ แต่ให้หมั่นทาครีมกันแดดบ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าครีมกันแดดยังมีประสิทธิภาพดีพอต่อการป้องกันแสงแดด
-รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว
เพิ่มการปกป้องผิวอีกระดับด้วย antioxidant ไม่ว่าจะเป็นการทานผักผลไม้ อาหารเสริมต่าง ๆ และการใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ antioxidant เช่น วิตามินซี วิตามินอี การดูแลผิวจากภายใน
เป็นการช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดี เริ่มต้นจากการเลือกอาหาร หรืออาจทานวิตามินเสริม ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานร่างกายที่ต่างกันออกไป กลุ่มวิตามินที่เน้นเรื่องผิวคือ A C และE
-วิตามินเอ ชะลอความแก่ ช่วยลดการอักเสบของสิว และยังมีความสามารถในการลดจุดด่างดำได้
-วิตามินซี เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างคอลลาเจน มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย ผิวดูสว่าง สดใส ไม่หมองคล้ำ ป้องกันผิวไหม้จากการโดนแดด
-วิตามินอี ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรงขึ้น นอกจากการดูแลผิวแค่ภายนอกแล้ว การดูแลผิวตั้งแต่ภายในก็เป็นสิ่งที่สำคัญ
–หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีน้ำหอม
เครื่องสำอาง ที่มีส่วนทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดฝ้า ควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีน้ำหอมและแอลกอฮอล์
รวมถึงเครื่องสำอางในกลุ่มไวท์เทนนิ่ง ดังนั้น สาวที่ใช้เครื่องสำอางที่เป็นกลุ่มไวท์เทนนิ่ง ต้องทากันแดดกันด้วยเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
-มาร์คหน้าบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ
การมาร์คหน้าเป็นประจำ ไม่ว่าจะทำเองที่บ้านหรือตามคลินิกเสริมความงาม จะเป็นการกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าให้เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่าเดิม ทั้งยังช่วยบำรุงผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ควรเลือกมาร์คที่มุ่งเน้นให้ผิวขาวใส ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ ซึ่งส่วนใหญ่มาร์คเหล่านี้จะมีส่วนผสมของ วิตามินซี เพื่อให้สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอกลับมา เนียนเรียบ อ่อนนุ่ม เปล่งประกาย
การรักษาฝ้าแดด
-การรักษาฝ้าด้วยยาทาหรือผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่ง เป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่ได้ผลดีและปลอดภัย ใช้ได้ผลดีกับฝ้าตื้นมากกว่าฝ้าลึก แต่เห็นผลได้ช้ากว่าวิธีอื่น ๆ
และยาบางตัวอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้ผลิตภัณฑ์รักษาฝ้าที่แอบใส่ยาอันตรายความเข้มข้นสูงเพื่อให้ได้ผลเร็ว
โดยการรักษาด้วยวิธีมาตรฐานนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มเห็นผลว่าฝ้าดูจางลงใน 1-2 เดือน ถ้าใช้ต่อเนื่องเกิน 6 เดือนก็จะเห็นผลอย่างชัดเจน แต่สำหรับฝ้าลึกนั้นจะค่อนข้างรักษาได้ยากหากต้องใช้ยาทาเพียงอย่างเดียว จึงต้องใช้วิธีการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย
-การลอกผิวด้วยสารเคมีหรือกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี เพื่อกำจัดเม็ดสีที่มีอยู่ออกไป เป็นการรักษาที่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะอาจก่อให้เกิดแผลเป็นถาวรได้จากการลอกชั้นผิวที่ลึกเกินไป
หลังทำต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดอย่างเคร่งครัดและทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นฝ้าจะกลับมาเป็นซ้ำและเข้มขึ้นมากกว่าเดิมจากผิวที่บางลงจากการลอกหรือกรอผิว
-การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling) เป็นการใช้สารเคมีที่มีความเข้มข้นสูงกว่าครีมรักษาฝ้าที่ผสมกรดผลไม้หลายเท่า ในการใช้จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผิวไหม้หรือแผลเป็นถาวร
-การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) เพื่อขัดและลอกผิวหนังชั้นหนังกำพร้าด้านบนออก ใช้ได้ผลกับฝ้าตื้น แต่เป็นวิธีรักษาฝ้าที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองสูง
และหลังทำต้องระมัดระวังการสัมผัสกับแสงแดดมากเป็นพิเศษ จึงเป็นวิธีที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในการรักษา โดยเฉพาะในบ้านเราที่มีอากาศร้อนและมีโอกาสสัมผัสแสงแดดได้สูง
-รักษาฝ้าด้วยเลเซอร์/แสง (Laser/Light Therapy) เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะมีความแม่นยำและรักษาได้ตรงจุด แต่การรักษาฝ้านี้ก็เป็นเพียงการรักษาเสริมเท่านั้น ไม่ใช่การรักษาหลัก
แถมวิธีนี้ยังเปรียบเสมือนดาบสองคมที่แม้จะทำให้ฝ้าจางลงเร็ว แต่ก็ดูจะเป็นวิธีที่มีข้อเสียอยู่มากที่ต้องคำนึงถึง เรื่องการทำเลเซอร์จะอาศัยหลักการปล่อยพลังงานความร้อนไปยังฝ้าเพื่อทำลายเม็ดสีโดยตรง
นั่นจึงเป็นผลทำให้ผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์นั้นไวต่อแสง หลังทำในช่วง 2-4 สัปดาห์ห้ามโดนแดดอย่างเด็ดขาด ผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง ขาดน้ำ ตกสะเก็ด และเป็นขุยเป็นสาเหตุการเกิดฝ้าใหม่และมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายกว่าเดิม ฝ้าอาจเข้มขึ้น หรือเกิดจุดด่างขาว อาจเกิดแผลเป็นจากเลเซอร์ เป็นต้น
-การรักษาฝ้าด้วยวิธีทางธรรมชาติ
วิธีรักษาฝ้าบนใบหน้านั้น ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ลองเยียวยารักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติอีกทางเลือกหนึ่ง แล้วจะรู้ว่าการรักษาฝ้าด้วยสมุนไพรนั้นดี และเห็นผลจริงมากน้อยเพียงใดเราลองยกตัวอย่างมาให้ลองศึกษา เราไปดูกันเลยค่ะ
-สมุนไพรรักษาฝ้าด้วย น้ำมันมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น มีกรดลอริก ที่จะเปลี่ยนเป็นโมโนลอริน ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำต่าง ๆ ทำให้รอยฝ้าจางลง และยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มาจากแสงแดด สามารถช่วยกันแดดได้ระดับหนึ่ง
ทำให้ช่วยยับยั้งเม็ดสี melanin ที่แปรปรวนจนเกิดฝ้า น้ำมันมะพร้าวจึงสามารถช่วยยับยั้ง และรักษาฝ้า รวมถึงความหมองคล้ำได้เป็นอย่างดี วิธีใช้น้ำมันมะพร้าว รักษาฝ้า ใช้น้ำมันมะพร้าวทาบำรุงผิวหน้าหลังอาบน้ำทุกวัน เช้า-เย็น
จะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น กระจ่างใสขึ้น รอยฝ้า กระ จุดด่างดำจะค่อย ๆ จางลง สิวลดลง ริ้วรอยตื้นขึ้นดีด้วย สามารถใช้ได้ทุกวัน เห็นเปลี่ยนแปลงภายใน 2 สัปดาห์
-สมุนไพรรักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า
สูตรหัวไชเท้า ในหัวไชเท้ามีวิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิกสูงมาก เป็นสาร สำคัญที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว ลดการเกิดรอยด่างดำและรอยฝ้า ช่วยผลัดเซลล์ผิว นอกจากนี้ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังและชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้
เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระ โดยหั่นหัวไชเท้าเป็นชิ้นบาง ๆ หรือบดหยาบ พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยให้รอยฝ้าจางลงได้ สูตรพอกหน้านี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายเนื่องจากมีปริมาณวิตามินซีค่อนข้างสูง
บทสรุป
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับ ฝ้าแดด ดูแลรักษาและป้องกันอย่างไร ควรศึกษาหารายละเอียดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดฝ้าบริเวณใบหน้าของสาว ๆ ได้เป็นอย่างดี และยังสามารถช่วยให้เรามีสุขภาพผิวที่ดีทั้งภายในและภายนอกอีกด้วยค่ะ