ลบรอยแผลเป็นอย่างไรให้จางลงหรือหายขาด
Table of Contents
ลบรอยแผลเป็น
แผลเป็น เกิดจากแผลสด ที่ทำการสมานแผลที่ฉีกขาดของเนื้อเยื่อ เป็นกระบวนการการรักษาแผลตามธรรมชาติของร่างกาย ที่สร้างเนื้อเยื่อเป็นคอลลาเจนขึ้นมาทดแทนเนื้อส่วนที่ถูกทำลายไป
และเมื่อแผลหายดีแล้ว ก็จะมีการทิ้งรอยแผลไว้ และแผลที่มักจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นก็ได้แก่ แผลจากอุบัติเหตุแผลผ่าตัด แผลปลูกฝี ฉีดวัคซีน แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลสิว แผลจากโรคอีสุกอีใส เป็นต้น
ลักษณะของแผลเป็น
แผลเป็นนูน จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ
-แผลเป็นนูนหนาธรรมดา แผลเป็นที่นูนขึ้นจากผิวหนังปกติแต่มีสีที่อ่อนกว่าหรือเข้มกว่าสีผิวปกติ แต่ยังอยู่ในขอบเขตของรอยแผลเดิม โดยเกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไป จะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน หลังแผลหาย และมักจะค่อย ๆ ยุบตัวแบนราบลงเมื่อเวลาผ่านไป
-แผลเป็นนูนชนิดลุกลามออกนอกตัวแผล หรือที่เรียกว่า แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) คือ มีความนูนหนาที่ลุกลามอออกนอกตัวแผล มีลักษณะนูนแข็งเห็นชัดเจนจากผิวหนังปกติ
และจะลามไปยังผิวหนังบริเวณข้างเคียง บริเวณที่มักพบแผลเป็นคีลอยด์ บริเวณต้นแขน หู หัวไหล่ ผิวบริเวณหน้าอก
วิธีลบรอยแผลเป็นให้จางลงหรือหายขาด
การใช้ยาทา
เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด เพราะสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป การใช้ยาทานอกจากช่วยให้แผลเป็นสีจางลงหรืออาจบางลงได้บ้างเล็กน้อยแล้ว ยังช่วยลดอาการคันได้อีกด้วย
และยาที่ใช้ทาลดรอยแผลเป็น เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาที่เป็นซิลิโคนเจล ยาที่มีส่วนผสมของวิตามินต่าง ๆ ซึ่งก็จะประกอบไปด้วย
-วิตามิน E หรือวิตามิน A เป็นส่วนประกอบซึ่งจะช่วยทำให้เซลล์สามารถซ่อมแซมแผลได้อย่างสมบูรณ์
-ส่วนผสมวิตามินเอ วิตามินบี 3 จะช่วยลดสีผิวของแผลไม่ให้เข้มกว่าสีผิวปกติ
-สารสกัดจากหัวหอม (Allium cepa) ที่ช่วยยับยั้งการอักเสบ ลดการสร้างคอลลาเจนบริเวณรอยแผล
-สารสกัดจากใบบัวบก (Asiatic acid, Madecassic และ Asiaticoside) ที่ช่วยกระตุ้นการหายของแผลได้อย่างสมบูรณ์ ลดการสร้างคอลลาเจนบริเวณรอบแผล
-สารมิวโคโพลีแซคคาไรด์ (MPS) ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณรอยแผล ทำให้การซ่อมแซมมีความสมบูรณ์
สารสกัดเหล่านี้โดยทั่วไป อาจช่วยทำให้แผลเป็นมีสีจางลงหรือบางลงได้เล็กน้อย แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
การปิดด้วยแผ่นซิลิโคนเจลใส
จะช่วยลดการขยายตัวของแผลในแผลเป็นที่เป็นใหม่ ๆ ได้โดยแผ่นเจลซิลิโคน จะมีลักษณะโครงสร้างเชื่อมต่อกันหลายแผ่น ทำให้มีความยืดหยุ่นตามการเคลื่อนไหวของผิวหนังได้ดี ช่วยรักษาการสูญเสียน้ำออกจากบริเวณรอยแผล
เหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีแดงหรือสีคล้ำหรือนูนเท่านั้น โดยนำมาปิดทับแผลที่เป็นหรือคีลอยด์ เป็นต้น ระยะเวลานานมากกว่าวันละ 12 ชั่วโมง จึงจะช่วยทำให้แผลเป็นยุบลงได้ แต่วิธีนี้อาจต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 เดือน
การฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Intra lesional corticosteroid)
หากจะรักษาด้วยวิธีนี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่งจะฉีดยาสเตียรอยด์นี้เข้าใต้ตำแหน่งของแผลเป็น ซึ่งจะช่วยให้แผลเป็นนั้นนุ่มและแบนราบลงได้
โดยแพทย์จะฉีดยาให้เดือนละครั้งจนกว่าแผลจะแบนราบ ซึ่งจำนวนครั้งในการฉีดในแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ขึ้นกับความมากน้อยที่เป็น ซึ่งวิธีนี้อาจได้ผลพอใช้ แต่ควรใช้ก็ต่อเมื่อการใช้แผ่นซิลิโคนรักษามาแล้วแต่ยังไม่หายดี
การผ่าตัดแผลเป็น
โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อเอาแผลเก่าออกแล้วเย็บแผลใหม่อีกครั้ง เหมาะทำในแผลเป็นที่เป็นสมบูรณ์เต็มที่แล้ว การผ่าตัดมักใช้รักษาแผลเป็นคีลอยด์เท่านั้น ส่วนแผลเป็นธรรมดาไม่มีความจำเป็นต้องผ่าตัด
การผ่าตัดทำได้โดยตัดแต่งแผลเป็นบางส่วนออกเพื่อลดขนาดและความนูนของแผล หรือจะใช้วิธีตัดผิวหนังส่วนอื่น ๆ มาปิดทับก็ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ให้ผลรวดเร็วและเห็นได้ว่าแผลเป็นยุบลงอย่างชัดเจน
และสามารถรักษาแผลเป็นนูนที่มีขนาดใหญ่มากได้ และราคาค่าผ่าตัดก็ขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของแผลเป็น โดยเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 8,000 – 10,000 บาท
การฉีดสารเติมเต็ม การฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ เข้าไปจะไปช่วยเติมเต็มรอยบุ๋ม ในกรณีที่มีแผลเป็นแบบเป็นรอยบุ๋ม แพทย์อาจฉีดสารสังเคราะห์อย่างคอลลาเจน หรือ Hyaluronic acid เข้าไปในรอยบุ๋ม เพื่อทำให้ผิวดูเต็มขึ้น ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์จจะอยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน
แล้วต้องมาฉีดยาเติมใหม่ เนื่องจากสารดังกล่าวที่นำมาฉีดจะเป็นสารสังเคราะห์ที่มีการยุบตัวลงได้เอง และเพื่อความปลอดภัยในการฉีด ควรจะเลือกฉีดสารเติมเต็มกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
และควรเลือกสถานพยาบาลที่มีเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อ และควรเลือกสารฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. เท่านั้น
การสักสีผิว รักษาแผลเป็น
การรักษาด้วยวิธีนี้ คล้ายกับการสักคิ้ว แต่เป็นการสักในเชิงรักษา โดยที่แพทย์จะเลือกสีที่ใช้สักให้ใกล้เคียงกับสีผิวปกตินำมาสักที่แผลเป็น ให้รอยแผลมีสีที่ใกล้เคียงกับผิวหนังรอบข้าง ซึ่งจะใช้ในกรณีของแผลเป็นที่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสีผิว
การใช้เลเซอร์
เลเซอร์ การใช้เลเซอร์จะใช้ในกรณีที่มีแผลเป็นตื้น ๆ และเพื่อป้องกันไม่ให้แผลเป็นนูนมากขึ้น เช่นรอยแผลเป็นจาก หลุมสิวหรือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว อีสุกอีใส แสงเลเซอร์ที่ใช้จะเป็นการปล่อยคลื่นแสงความถี่สูงขนาดเล็ก
ไปยังจุดที่ต้องการรักษาลบรอยแผลเป็นทำให้รักษาได้อย่างรวดเร็ว แต่การรักษาจะทำให้รอยแผลเป็นค่อยๆจางลง อาจจะได้ผลปานกลาง โดยแพทย์อาจทำการรักษาควบคู่ไปกับการรักษาอื่น ๆ ด้วย เช่น การกรอผิวเพื่อปรับสภาพผิว ในกรณีที่มีแผลเป็นตื้น
การทำไอพีแอล (Intense pulse light – IPL)
การทำไอพีแอล เป็นการใช้แสงความเข้มข้นสูงและใช้ความยาวช่วงคลื่นแสงที่เฉพาะเจาะจงในการรักษา สามารถทำให้เนื้อเยื่อที่เป็นพังผืดเกิดการเรียงตัวได้อย่างเป็นระเบียบ เป็นผลทำให้แผลเป็นมีขนาดเล็กลง แต่จะต้องทำการรักษาเป็นเวลานานและต่อเนื่อง
การฉายรังสี (Radio therapy)
การฉายรังสี เป็นการรักษาแผลเป็นคีลอยด์ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลเป็นนูนมากขึ้น โดยแพทย์อาจใช้การฉายรังสีผ่านเครื่อง SRT (Stereotactic Radiotherapy)
ซึ่งเป็นการฉายรังสีพลังงานสูงไปยังบริเวณรอยแผลเป็นที่มีความแม่นยำสูง การรักษาด้วยวิธีนี้จะไม่สามารถทำให้แผลเป็นคีลอยด์หายขาดได้ 100 %เพียงแต่จะช่วยป้องกันไม่ให้แผลเป็นขยายใหญ่ขึ้นอีกในอนาคต
การใช้ความเย็นหรือไนโตรเจนเหลว (Cryotherapy)
ไนโตรเจนเหลวเป็นของเหลวเย็นจัดอุณหภูมิ – 196 C เมื่อจี้หรือพ่นลงไปบริเวณผิวหนังจะทำให้อุณหภูมิของผิวหนังลดลงอย่างรวดเร็วเกิดผลึกน้ำแข็ง หลังจากปล่อยให้อุ่นขึ้นเนื้อเยื่อนั้นจะตาย
จึงสามารถนำมาใช้ทำลายเนื้องอกหรือรอยโรคของผิวหนังได้ เป็นการใช้เครื่องทำความเย็นจี้บริเวณแผลเป็นให้เกิดการแตกสลายไป เทคนิคนี้พบว่าสามารถช่วยลดขนาดของแผลเป็นลงได้บ้าง เหมาะใช้กับแผลเป็นนูน
หลังการรักษาแผลเป็นควรปฏิบัติอย่างไร
-นวดแผลหลังผ่าตัดเพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นใหม่ ก่อนนวดล้างมือให้สะอาดเพื่อไม่นำเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผล
-ระมัดระวังไม่ให้แผลติดเชื้อ เพราะการติดเชื้อจะทำให้เกิดแผลเป็นขึ้นมาใหม่ได้
-หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้แผลระคายเคือง เช่น การเกาแรง ๆ หรือการขัดถู
ป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็น
-หากเป็นแผลไม่ว่าจะเป็นบริเวณใด การทำแผลควรใช้น้ำเย็นล้างทำความสะอาด แล้วเช็ดรอบ ๆ แผลด้วยสบู่หรือผ้าสำหรับทำความสะอาด
-ควรใช้ผ้าปิดแผลเพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรีย สิ่งสกปรก และสิ่งระคายเคือง อีกทั้งยังสามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แผล ทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ลดโอกาสการเกิดแผลเป็นไปในตัว
-ห้ามเขี่ย แคะ แกะ และเกาแผลเป็นอันขาด เพราะจะเป็นการเปิดแผลขึ้นอีก เพราะเสี่ยงต่อการเป็นแผลเป็น
และการรักษารอยแผลเป็นซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาแผลเป็นให้หายได้ 100% ได้ แต่สามารถทำให้จางลง และใกล้เคียงกับสีผิวธรรมชาติมากที่สุด
การรักษาแพทย์มักจะใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกัน แม้การรักษาจะไม่ทำให้แผลเป็นหายไปได้อย่างเกลี้ยงเกลา แต่ก็สามารถช่วยให้ดูดีขึ้นได้มาก